Jan
สำหรับมื้อเช้าที่เร่งด่วน การทานข้าว อาจจะไม่ใช่คำตอบเสมอไป วันนี้ พาทุกคนมารู้จัก เบเกิล อาหารเช้ายอดนิยม ที่ใครๆ ต่างก็ชอบทาน รังสรรค์รสชาติได้ไม่รู้จบเลย
มารู้จัก เบเกิล ( Bagel ) กันดีกว่าค่ะ ซึ่ง เบเกิล เป็นอาหารเช้ายอดนิยม ของชาวตะวันตก ตั้งแต่ชาวยุโรปตะวันออก ไปจนถึงทวีปอเมริกาและยุโรป ที่กินอิ่ม อยู่ท้อง และอร่อยได้หลากหลายมาก ๆ โดยต้นกำเนิดเบเกิล ชาวยิวในโปแลนด์ที่เป็นคนต้นคิดสูตรทำขนมปัง ที่ข้างนอกผิวกรอบเล็กน้อย ข้างในเหนียวนุ่ม เป็นความเหนียวหนึบ ๆ ผิวสัมผัสที่ไม่เหมือนขนมปัง บันทึกกันไว้ ว่าเมื่อปี ค.ศ.1610 ชุมชนชาวยิวในโปแลนด์ นั้นทำเบเกิล เป็นอาหารให้คุณแม่หลังคลอด ทว่ามีอีกหลักฐานหนึ่งระบุไว้ ว่าชาวโปแลนด์ในยุคกลาง ทำเบเกิลกินมานานแล้ว และทำให้มีรูตรงกลาง มีความหมายว่า เบเกิล นั้นมีพลังวิเศษ
โดยอีกตำนานเล่าว่า คนอบขนมปังในเวียนนา คิดสูตรเบเกิลขึ้นราวศตวรรษที่ 17 ซึ่งตั้งใจจะมอบให้กษัตริย์ของโปแลนด์ ที่นำทัพปกป้องออสเตรียจากการบุกของกองทัพเติร์ก แต่ว่าข้อมูลนี้มีหลายคนบอกว่า ไม่น่าเป็นจุดกำเนิดของเบเกิล ในขณะที่มีผู้อ้างว่า สูตรเบเกิลปรากฏ นั้นอยู่ในตำราทำอาหาร ของบารอนเนส ที่อยู่ใน Hertfordshire หนังสือชื่อ The Recipe of Book of Baroness Dimsdale c.1800 โดยมีชื่อเรียกว่า Hertfordshire nut และบางคน นั้นก็อ้างว่าสูตร โดนัท ขนมปังมีรูตรงกลาง แต่ว่าเอาไปทอด ก็เริ่มมาจากตรงนี้หากเขียนว่า dow nuts นั่นเอง
ความจริงแล้ว ชาวยิวทำ เบเกิล ( Bagel ) ก่อนใครๆ ขนมปังนวดด้วยมือปั้นเป็นรูปทรงกลม คว้านรูตรงกลาง แล้วเอาลงต้มในน้ำ ที่น้ำเดือดกำลังพอดี พลิกสองข้างให้สุกเท่ากัน แล้วจึงนำไปอบอีกครั้ง ทำให้ผิวนอกกรอบ ข้างในเหนียว ๆ หนุบ ๆ ซึ่งเทคนิคการต้มของแต่ละสูตร ต่างก็ไม่เหมือนกัน ยิ่งต้มนานๆ เปลือกผิวนอกจะหนาขึ้น เนื้อข้างในนั้นจะไม่ฟูแต่จะแน่น ถ้าหากต้มนานเกินไป เนื้อจะแน่นเหนียวเกินไป ทานแล้วก็ไม่อร่อย เพราะฉะนั้น เวลาต้มประมาณ 30 วินาที บางสูตร ก็อาจต้ม 60 วินาที เมื่ออบอีกที ตัวแป้งข้างในจะขึ้นฟู และมีเนื้อแน่นกว่าขนมปัง
แล้วทำไม เบเกิล ( Bagel ) ต้องมีรูตรงกลาง ?
อธิบายว่าเพื่อให้แป้งสุกง่ายๆ และสุกทั่วถึง และถือกินได้ง่ายด้วย โดยเฉพาะเมื่อผ่าครึ่ง แล้วก็สามารถใส่สารพัดไส้ เหมือนทำแซนด์วิช อาทิ แซลมอนรมควัน, ไข่, แฮม, อโวคาโด, ทาครีมชีส, ฮัมมัส, โปะหอมใหญ่, ผักสดต่าง ๆ หรือว่าใส่ส่วนผสมลงในแป้ง ไม่ว่าจะเป็น ช็อกโกแลตชิพ ลูกเกดผสมอบเชย (โดยคลุกให้เข้ากันจะอร่อยมาก) เบเกิลผสมกับดาร์กโกโก้, ชาเขียว, ไรซ์เบอร์รี่, ข้าวโอ๊ต, ข้าวไรย์ ฯลฯ ทำเป็นของหวานก็ได้ด้วย โดยท็อปปิ้งด้วยบลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ เนยถั่ว น้ำผึ้ง สูตรเบเกิลจึงกินอร่อยไม่รู้จบจริง ๆ ค่ะ
เมื่อชาวยิวอพยพ ได้ไปอยู่นิวยอร์กก็นำสูตรเบเกิลไปด้วย โดยคนเยอรมันบอกว่า ขนมปัง เพรทเซล (Pretzel) นั้นมีเนื้อสัมผัสแบบเดียวกับ เบเกิล ซึ่งกินกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 และบอกว่าเบเกิลมาจากภาษาเยอรมัน ว่า Bougel แปลว่า “กำไลข้อมือ” นั่นเอง โดยเมื่อชาวเยอรมันอพยพมาอยู่อเมริกา ก็ได้นำขนมปังเพรทเซลมาด้วย ทั้งสองอย่าง ก็คือ สตรีทฟู้ด อาหารของคนทั่วไปที่กินอิ่ม ราคาถูก
ทางด้านชาวอังกฤษในเขตบริกเลน ย่านอีสต์เอนด์ในลอนดอนก็ชอบกิน เบเกิล ( Bagel ) มีร้านขายเบเกิลช่วงศตวรรษที่ 19 เมื่อถึงปลายศตวรรษที่ 20 เบเกิล ( Bagel ) นั้นคือ ขนมปังที่กินทั่วทวีปอเมริกาเหนือ และเริ่มมีอุตสาหกรรมเบเกิล ทำ “เบเกิลแช่แข็ง” เมื่อปี 1960 เมื่อทำเยอะขายเยอะ ต่างก็ต้องลดระยะเวลาการผลิต โดยใช้วิธีอบไอน้ำ ไม่ต้องต้มไม่ต้องอบ ใช้การอบไอน้ำให้สุกในขั้นตอนเดียว ผลลัพธ์นอกจากจะลดต้นทุนการผลิตแล้วก็ทำให้ผิวเป็นมันเงา ดูสวยน่ากิน แต่ข้างในเหนียวนุ่มไม่เท่าเบเกิลสูตรดั้งเดิม
ส่วนที่นิวยอร์ก นั้น เบเกิล ( Bagel ) ได้รับความนิยม คนแคนาดาก็ชอบ จึงมี มอนทรีออล เบเกิล สองเมืองนี้ต่างแข่งกันว่าเบเกิลของใครอร่อยกว่ากัน เวลาต่อมาก็มีสไตล์ชิคาโก้, แคลิฟอร์เนีย, โอเรกอน ฯลฯ ได้ออกมาแข่งความอร่อยกัน ไม่นานนัก เบเกิล ( Bagel ) ก็ไปดังในฝรั่งเศส ส่วนชาวลอนดอนยังคงชอบกิน เบเกิล ( Bagel ) เนื้อหยาบและมีฟองอากาศข้างในมากกว่า
แคลอรี่ใน เบเกิล ( Bagel ) ?
ซึ่งไซส์มาตรฐานขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.5-4 นิ้ว ให้พลังงาน 300 แคลอรี่ ไขมัน 1.5 กรัม ถ้าหากไซส์ใหญ่ให้พลังงาน 500-600 แคลอรี่ เท่ากับขนมปัง 6 แผ่น แต่ถ้าปาดครีมชีสก็เพิ่มเข้าไปอีก 50 แคลอรี่ ยังมีสารพัดท็อปปิ้งที่ใส่เข้าไป หากอยากทาน เบเกิลเพื่อสุขภาพ อย่างเช่น เบเกิลแป้งโฮลวีท หรือใส่ธัญพืช งาขาวงาดำ ข้าวโอ๊ต ข้าวไรย์ เมล็ดฟักทอง ป๊อปปี้ซี้ด ฯลฯ
ทำไทาน เบเกิล ( Bagel ) ช่วยให้อารมณ์ดี ?
ซึ่งใน เบเกิล ( Bagel ) มี คาร์โบไฮเดรตในแป้ง ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเซโรโทนิน ทำให้รู้สึกสงบ งานวิจัยบางแห่งให้คนไข้โรคซึมเศร้ากินอาหารที่มีแป้งจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย
วันนี้ มาทำความรู้จัก เบเกิล ( Bagel ) กันไปแล้ว ก็รู้สึกหิวเลยใช่ไหมละคะทุกคน อิอิ
อ่านบทความเพิ่มเติม